การทบทวนวรรณกรรม
เรียบเรียง โดย ฐานิกา บุษมงคล
วรรณกรรม (literature)
หมายถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มีการเก็บบันทึกรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษา
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง คือ
1. เพื่อให้ทราบว่ามีผู้ใดเคยศึกษาหรือวิจัยมาก่อน
2. เพื่อให้ทราบถึงวิธีการศึกษาของผู้วิจัยอื่นๆ
3. เพื่อให้ทราบปัญหาและอุปสรรคของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4. เพื่อให้ได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในแนวคิด ทฤษฎี หลักการตลอดจนตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
5. ทำให้สามารถเชื่อมโยงงานวิจัยของตนเองเข้ากับผลงานวิจัยที่อาจมีบุคคลอื่นได้ทำมาแล้ว
วรรณกรรมที่ผู้วิจัยสามารถค้นคว้ามี 12 ประเภท ได้แก่
1 หนังสือ
2 หนังสืออ้างอิง
3 วารสารและจุลสาร
4 ข่าวสาร
5 หนังสือพิมพ์
6 เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา
7 รายงานการวิจัย
8 วิทยานิพนธ์
9 สารนิพนธ์
10 เอกสารสิ่งพิมพ์อื่นๆ ได้แก่ รายงานการประชุม คำสั่ง หนังสือเวียน รายงาน การศึกษาดูงาน รายงานประจำปีของหน่วยงาน
11 ไมโครฟิลม์
12 ฐานข้อมูล
กระบวนการของการค้นคว้าวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องมี 5 ขั้นตอน คือ
1 กำหนดเรื่อง หัวเรื่อง หัวข้อเรื่องให้มีความชัดเจน
2 กำหนดขอบเขตและประเภทของข้อมูลที่ต้องการ
3 กำหนดประเภทของวรรณกรรม
4 พิจารณาแหล่งค้นคว้า
5ปฏิบัติตามระบบ วิธีการ และกระบวนการ ศึกษาตามแต่ละประเภทของวรรณกรรม
6 อ่านทบทวนและบันทึกข้อมูล
ขั้นตอนการทบทวนวรรณกรรม
1. กำหนดขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม
2. ค้นหาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
3. เลือกเอกสารและรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4. การอ่านเอกสาร
5. บันทึกข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
รูปแบบการเขียน
รูปแบบการเขียน ตอนนำไปเขียนให้ประกอบด้วยหัวข้อหลักและหัวข้อรอง
การเขียนทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เป็นตอนแรกของผลการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจทฤษฎีหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรของการวิจัย เพื่อนำมาใช้สร้างกรอบความคิดของการวิจัยทั้งหมดในการวิจัยครั้งนี้
1. รูปแบบการเขียน ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เขียนให้ประกอบด้วยหลักฐานจากการทบทวนและข้อสรุปของการทบทวน ตัวอย่างเช่น
ในการวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548
ผลการทบทวนนิยามของคำว่า ‘การสอบคัดเลือก’ มีรูปแบบการนำเสนอดังนี้
คำว่า ‘การสอบคัดเลือก’ มีผู้ให้นิยามไว้หลายความหมาย ดังนี้
วิจิตร ศรีสะอ้านกล่าวว่า การสอบคัดเลือกหมายถึง………
อุทุมพร จามรมาน กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง………
วันชัย ศิริชนะ กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง …………
เกษม วัฒนชัย กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง…………
จากนิยามข้างต้นผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่าการสอบคัดเลือก หมายถึง.......
ตัวอย่าง การวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548 ผู้วิจัยได้สรุปผลการทบทวนวรรณกรรมออกเป็น 3 ตอน คือ
ตอนที่1 ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นิยามรูปแบบและขั้นตอนวิธีการ
ตอนที่2 ปัจจัยทางการเรียน ประกอบด้วยนิยาม องค์ประกอบ และความสำคัญ
ตอนที่3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยปัจจัยทางการเรียน การสอบคัดเลือก และความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งสอง
ตอนที่4 กรอบความคิดของการวิจัยครั้งนี้
2. หลักการเขียน การเขียนทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก)เขียนเป็นตอนและแบ่งเป็นหัวข้อ
(ข)เขียนด้วยภาษาทางวิชาการและมีการอ้างอิง
(ค)เขียนให้มีข้อสรุปแต่ละตอน ที่สามารถนำไปใช้เขียนนิยามหรือตั้งสมมุติฐานการวิจัยได้
(ง)เขียนด้วยภาษาของตนเองไม่ตัดตอนมาปะ
(ข)เขียนผลการทบทวนให้ครอบคลุมเกี่ยวกับตัวแปร เทคนิควิธี วิจัย เครื่องมือการวิจัยที่เฉพาะของการวิจัยนี้
วรรณกรรม (literature)
หมายถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้มีการเก็บบันทึกรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษา
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง คือ
1. เพื่อให้ทราบว่ามีผู้ใดเคยศึกษาหรือวิจัยมาก่อน
2. เพื่อให้ทราบถึงวิธีการศึกษาของผู้วิจัยอื่นๆ
3. เพื่อให้ทราบปัญหาและอุปสรรคของงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4. เพื่อให้ได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในแนวคิด ทฤษฎี หลักการตลอดจนตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
5. ทำให้สามารถเชื่อมโยงงานวิจัยของตนเองเข้ากับผลงานวิจัยที่อาจมีบุคคลอื่นได้ทำมาแล้ว
วรรณกรรมที่ผู้วิจัยสามารถค้นคว้ามี 12 ประเภท ได้แก่
1 หนังสือ
2 หนังสืออ้างอิง
3 วารสารและจุลสาร
4 ข่าวสาร
5 หนังสือพิมพ์
6 เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา
7 รายงานการวิจัย
8 วิทยานิพนธ์
9 สารนิพนธ์
10 เอกสารสิ่งพิมพ์อื่นๆ ได้แก่ รายงานการประชุม คำสั่ง หนังสือเวียน รายงาน การศึกษาดูงาน รายงานประจำปีของหน่วยงาน
11 ไมโครฟิลม์
12 ฐานข้อมูล
กระบวนการของการค้นคว้าวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องมี 5 ขั้นตอน คือ
1 กำหนดเรื่อง หัวเรื่อง หัวข้อเรื่องให้มีความชัดเจน
2 กำหนดขอบเขตและประเภทของข้อมูลที่ต้องการ
3 กำหนดประเภทของวรรณกรรม
4 พิจารณาแหล่งค้นคว้า
5ปฏิบัติตามระบบ วิธีการ และกระบวนการ ศึกษาตามแต่ละประเภทของวรรณกรรม
6 อ่านทบทวนและบันทึกข้อมูล
ขั้นตอนการทบทวนวรรณกรรม
1. กำหนดขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม
2. ค้นหาเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
3. เลือกเอกสารและรายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4. การอ่านเอกสาร
5. บันทึกข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
รูปแบบการเขียน
รูปแบบการเขียน ตอนนำไปเขียนให้ประกอบด้วยหัวข้อหลักและหัวข้อรอง
การเขียนทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เป็นตอนแรกของผลการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจทฤษฎีหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรของการวิจัย เพื่อนำมาใช้สร้างกรอบความคิดของการวิจัยทั้งหมดในการวิจัยครั้งนี้
1. รูปแบบการเขียน ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เขียนให้ประกอบด้วยหลักฐานจากการทบทวนและข้อสรุปของการทบทวน ตัวอย่างเช่น
ในการวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548
ผลการทบทวนนิยามของคำว่า ‘การสอบคัดเลือก’ มีรูปแบบการนำเสนอดังนี้
คำว่า ‘การสอบคัดเลือก’ มีผู้ให้นิยามไว้หลายความหมาย ดังนี้
วิจิตร ศรีสะอ้านกล่าวว่า การสอบคัดเลือกหมายถึง………
อุทุมพร จามรมาน กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง………
วันชัย ศิริชนะ กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง …………
เกษม วัฒนชัย กล่าวว่า การสอบคัดเลือก หมายถึง…………
จากนิยามข้างต้นผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่าการสอบคัดเลือก หมายถึง.......
ตัวอย่าง การวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548 ผู้วิจัยได้สรุปผลการทบทวนวรรณกรรมออกเป็น 3 ตอน คือ
ตอนที่1 ระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นิยามรูปแบบและขั้นตอนวิธีการ
ตอนที่2 ปัจจัยทางการเรียน ประกอบด้วยนิยาม องค์ประกอบ และความสำคัญ
ตอนที่3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยปัจจัยทางการเรียน การสอบคัดเลือก และความสัมพันธ์ของตัวแปรทั้งสอง
ตอนที่4 กรอบความคิดของการวิจัยครั้งนี้
2. หลักการเขียน การเขียนทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้องมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก)เขียนเป็นตอนและแบ่งเป็นหัวข้อ
(ข)เขียนด้วยภาษาทางวิชาการและมีการอ้างอิง
(ค)เขียนให้มีข้อสรุปแต่ละตอน ที่สามารถนำไปใช้เขียนนิยามหรือตั้งสมมุติฐานการวิจัยได้
(ง)เขียนด้วยภาษาของตนเองไม่ตัดตอนมาปะ
(ข)เขียนผลการทบทวนให้ครอบคลุมเกี่ยวกับตัวแปร เทคนิควิธี วิจัย เครื่องมือการวิจัยที่เฉพาะของการวิจัยนี้
3.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นตอนที่สองของผลการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรของการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัย เพื่อนำมาใช้ออกแบบการวิจัยและสังเคราะห์ข้อค้นพบมาใช้อ้างสรุปในการวิจัยครั้งนี้
3.1 รูปแบบการเขียน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเขียนให้ประกอบด้วยผู้วิจัย ชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์การวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย ข้อค้นพบและข้อสรุปของนักวิจัย
หลักการเขียน การเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก)เขียนผลการทบทวนงานวิจัยเรื่องละประมาณ10 บรรทัด
(ข)เขียนผลการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรเดียวกัน
(ค)เขียนผลการทบทวนงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยตรงกัน
(ง)เขียนผลการทบทวนตามลำดับเนื้อหา เวลาหรือตามตัวแปร
หลักการเขียน การเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีหลักการทั่วไปดังนี้
(ก)เขียนผลการทบทวนงานวิจัยเรื่องละประมาณ10 บรรทัด
(ข)เขียนผลการทบทวนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรเดียวกัน
(ค)เขียนผลการทบทวนงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยตรงกัน
(ง)เขียนผลการทบทวนตามลำดับเนื้อหา เวลาหรือตามตัวแปร
ตัวอย่างเช่น ในการวิจัยเรื่อง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางการเรียนกับผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัครสอบ ประจำปี 2548 ผลการทบทวนงานวิจัย มีรูปแบบการนำเสนอดังนี้
ในปี พ.ศ.2544 สมพร เขียวเหลือง ได้ทำการวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าศึกษาต่อของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร 10 แห่ง จำนวน 452 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามจำนวน 1 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยาย การวิเคราะห์ความแปรปรวนและวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วยชื่อเสียงของโรงเรียน คุณภาพของครู อัตราการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ความต้องการของผู้ปกครอง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียน อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน
ในปี พ.ศ.2546 วิชัย มานะชัย ได้ทำการวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายกับคะแนนเฉลี่ยสะสมชั้นปีที่4ของนิสิตในมหาวิทยาลัยรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการพยากรณ์ของผลการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นิสิตในมหาวิทยาลัยของรัฐ 4 แห่ง จำนวน 580 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามจำนวน 1 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายและวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายกับคะแนนเฉลี่ยสะสมในมหาวิทยาลัยมีค่าความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงมาก
จากการทบทวนงานวิจัยข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ปัจจัยทางการเรียนที่มีผลต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของผู้สมัคร ประกอบด้วย ชื่อเสียงของโรงเรียน คุณภาพของครู อัตราการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ความต้องการของผู้ปกครอง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของนักเรียน อิทธิพลของกลุ่มเพื่อน และคะแนนสอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ตัวอย่าง
ตัวอย่างการเขียนวรรณกรรมโดยใช้รูปแบบการเขียนทีละเรื่องตามลำดับไป
โดนัลด์ พี วอร์วิค (Donald P. Warwick) เห็นว่า ความคลุมเครือในเป้าหมายเกี่ยวกับงานจะทำให้ข้าราชการหันไปยึดถือวิธีการ (Means-Oriented) มากกว่าการยึดถือเป้าหมาย (Goals-Oriented) เพราะข้าราชการจะไม่แน่ใจว่าการนำนโยบายไปปฏิบัติมุ่งให้เกิดผลอะไร หรือมุ่งให้เกิดผลดีอย่างไร แต่การกำหนดกฎเกณฑ์และมาตรฐานของงานที่สร้างขึ้น จะช่วยทำให้ข้าราชการเกิดความมั่นใจว่าเขาได้ทำตามหนทางที่ถูกต้อง (Right Way)และถือว่าเป็นทางออกที่ดีของข้าราชการ (Warwick, 1975) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ กันน์ที่เห็นว่าประสิทธิผลที่สมบูรณ์ของการนำนโยบายไปปฏิบัติต้องการความเข้าใจ และความเห็นพ้องต่อวัตถุประสงค์ที่ต้องการบรรลุถึงอย่างมาก (Gunn, 1978 : 173)
ดอนนา เอช เคอร์ (Donna H. Kerr) กล่าวว่า ความล้มเหลวประการหนึ่งของการนำนโยบายปฏิบัติก็ คือ การที่หน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติไม่ได้มีการยึดเป้าหมาย (Kerr, 1976 : 360)
แวน มิเตอร์และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ก็ได้ให้ความสำคัญต่อมาตรฐานของนโยบายและวัตถุประสงค์ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะจะช่วยทำให้สามารถวัดถึงผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นได้ (Van Meter and VanHorn, 1975 : 464 ) เช่นเดียวกันกับเพรสแมนและวิลดาฟสกี้ (Pressman and Wildavsky) ที่มองว่า การนำนโยบายไปปฏิบัติไม่สามารถทราบได้ว่ามีประสิทธิผลหรือไม่ ถ้าไม่มีเป้าหมายที่จะนำมาใช้ในการวัด (Pressman and Wildavsky, 1973 : xiv) รวมถึงสอดคล้องกับแนวคิดของโรบิน แฮมเบิลตัน (Robin Hambleton) ที่เห็นว่าความคลุมเครือของนโยบายจะทำให้ยากที่จะระบุตัวชี้วัดการปฏิบัติหรือระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน (Hambleton, 1983)
รูปแบบการอ้างอิง
1.อ้างอิงเชิงอรรถ(footnote style) ท้ายหน้าที่อ้างอิง โดยมีชื่อผู้แต่ง ชื่อหนังสือ หรือ บทความ ปีที่พิมพ์ และหมายเลขหน้า
2.อ้างอิงระบบ นาม-ปี (Author-Date Style) มีเฉพาะชื่อ นามสกุล ปีที่พิมพ์ และหมายเลขหน้า โดยวงเล็บไว้หลังข้อความ ที่อ้างอิง
ที่มา
1. ธัชพนธ์ โชคสุชาติ. (2551). ขั้นตอนในการทบทวนวรรณกรรม. เผยแพร่ทาง http://www.bestwitted.com.เข้าถึงเมื่อ 1 มิถุนายน 2556.
2. กฤษดา กรุดทอง. (2549). การเขียนบทนำและการทบทวนวรรณกรรม. เผยแพร่ทาง http://www.gotoknow.org/files/24228 .เข้าถึงเมื่อ 1 มิถุนายน 2556.
ความคิดเห็น