กัญชาไมโครโดส...หลักปฏิบัติที่สำคัญ
กัญชาไมโครโดส...หลักปฏิบัติที่สำคัญ
การใช้กัญชาที่ถูกหลักคือการใช้ขนาดน้อยที่สุดหรือที่เรียกว่าไมโครโดส ที่เราเรียกว่าใช้ปลายไม้จิ้มฟันแตะซอกฟัน เวลาเย็นหรือก่อนนอนเป็นการใช้ครั้งแรก
และในวันต่อมาค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นทีละน้อย เช่น ไม้จิ้มฟันหักปลายจุ่มลงในน้ำมันกัญชาปาดส่วนเกินออก แตะที่ซอกฟัน (กรณีที่ไม่มีฟันจะใช้ดูดเอาก็ได้)
การเริ่มต้นด้วยการหยดใต้ลิ้น ถ้าหยดถูกวิธีโดยไม่กลืนเป็นเวลาหนึ่งนาทีจะทำให้การดูดซึมค่อนข้างสมบูรณ์และออกฤทธิ์ได้เร็วภายใน 15 ถึง 45 นาทีก็ตาม แต่มักควบคุมขนาดของหยดไม่ได้และกลายเป็นได้ปริมาณมากเกินไปจนเกิดเมา
การใช้ไม้จิ้มฟันแม้ว่าปริมาณที่ได้รับอาจไม่แน่นอนเพราะกลายเป็นการกินและการออกฤทธิ์อาจช้า โดยต้องรอถึง 1–4 ชั่วโมงก็ตาม แต่มีความปลอดภัยกว่ามาก และจะทำให้กลไกทั้งหลายที่พูดกันขณะนี้ นุ่มนวลขึ้น ไม่เมา
แต่ในขณะเดียวกันอาจยังไม่เห็นผลทันที โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสมองเสื่อม การลดอาการเกร็งและในเรื่องของโรคพาร์กินสัน แม้ในเรื่องการนอน
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการปรับขนาดทีละเล็กทีละน้อย โดยอาจจะต้องรอโดยใช้เวลาถึง 10-14 วัน
เรื่องที่กัญชาทำให้ความดันต่ำ (ทั้งที่ไม่ต้องเมาก็ได้) เป็นเรื่องจริง โดยที่แม้ใช้ในปริมาณน้อยถูกวิธี
และเป็นที่มาที่ต้องมีความระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันอื่น โดยเฉพาะกัญชาที่ใช้นั้นเป็นชนิดที่มีสารออกฤทธิ์แบบไม่เมาเป็นส่วนใหญ่ที่เรียกว่า CBD หรือที่มาจากกัญชงนั่นเอง
โดยที่ CBD สามารถเพิ่มขนาดยาหลากหลายได้ตั้งแต่ยาลดความดัน ยาเบาหวาน ยาลดไขมัน ยานอนหลับ ยารักษาโรคจิต ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคเอดส์ ยาแก้แพ้ เป็นต้น จนเมื่อเกิดผลแทรกซ้อนจะอธิบายจากการที่ยาปัจจุบันออกฤทธิ์มากเกินไป
ดังนั้นเมื่อใช้ไป ไม่ว่ากัญชาที่ใช้จะมีสารออกฤทธิ์แบบเมาหรือแบบไม่เมาก็ตามต้องค่อยๆปรับยาต่างๆที่ใช้ในปัจจุบันทีละน้อยตามไปด้วย ตามความเหมาะสม
เช่นเดียวกับในเรื่องของเบาหวาน กัญชาทำให้ระดับน้ำตาลลดได้
ทั้งนี้ เป็นที่น่าประหลาดใจโดยที่ตำราส่วนมากจะพูดถึงกัญชาที่ทำให้เมาจะทำให้เบาหวานควบคุมยากขึ้นและกัญชงที่ไม่เมาทำให้น้ำตาลลดลง
การใช้ปริมาณน้อยที่สุดแม้ว่าจะเป็นตัวออกฤทธิ์แบบที่ทำให้เมาได้ก็ตาม กลับทำให้ระดับน้ำตาลลดลงได้
และนี่คือกลไกของการออกฤทธิ์ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวจับตัวรับกัญชาอย่างเดียว โดยที่ทราบกันมาประมาณ 28 ปีที่แล้ว แต่เป็นเรื่องของการที่กัญชาที่ได้จากภายนอกไปกระตุ้นการสร้างกัญชาธรรมชาติในร่างกาย เฉพาะกิจ และทำงานตามสั่งในช่วงระยะเวลาที่ต้องการในการปรับความผิดปกติในร่างกาย (On demand. Time specific. System selection)
ซึ่งกัญชาในร่างกายเหล่านี้ แม้ว่าจะสามารถจับกับตัวรับได้แทบทุกตัวเหมือนกันหมดแต่เลือกที่จะทำงานในส่วนที่จะต้องทำ เท่านั้น (Functional selectivity) ไม่ว่าจะใช้ inverse agonism. Receptor bias. Heterodimerization ต่างๆนานาก็ตาม
และนี่เป็นเหตุผลที่แม้จะพยายามสร้างสรรค์ยากัญชาที่มีตัวออกฤทธิ์ที่พยายามให้จำเพาะเจาะจงมากที่สุดแต่ผลที่ได้แท้จริงแล้วเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติโดยกัญชาจากภายนอกเป็นเพียงแต่ตัวกระตุ้นเท่านั้น
และนี่เป็นที่มาของการใช้กัญชาจากภายนอกแทนที่จะเป็นการเลือกตัวเดียวโดดๆ ที่ได้จากการสกัดหรือจากการสังเคราะห์จะทำให้ได้ผลไม่ดีเท่ากับกัญชาที่ได้จากพืชเต็มๆ (full spectrum)
หรือถ้าจะเกรงกลัวปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดเมา ก็จะทำการแยกสารที่ทำให้เมาออกและเหลือแต่ตัวอื่นๆ ทั้งหมด กลายเป็น broad spectrum
การอมเกลือใต้ลิ้น 5 นาทีอาจช่วยในกรณีที่ใช้กัญชาในปริมาณมากเกินไปและเกิดเมา โดยอมจนกระทั่งเกลือละลายหายไป และถ้ายังมีอาการเมาอยู่อีกก็ให้อมอีก
โดยปฏิกิริยาเมาของกัญชาต่อระบบความดันมีสามเฟสหรือระยะ (Triple phase cannabis response หรือ Bezold Jarisch reaction)
ระยะแรกมีความดันต่ำและชีพจรต่ำ ทั้งนี้ อาจจะอธิบายจากตัวรับสองตัวด้วยกัน (Phase I hypotension bradycardia. Trvpv1 HT3receptor) ระยะที่สองมีความดันขึ้นและชีพจรเร็วขึ้นอาจจะอธิบายจากตัวรับตัวเดิมด้วยซ้ำ (Phase II hypertension. Tachycardia by Trypv 1) และระยะที่สามเป็นความดันต่ำและชีพจรเร็วขึ้น (Phase III. Hypotension)
โดยที่ความแปรปรวนของความดันและชีพจรช้าเร็วต่างๆนี้ ถ้าในคนที่มีโรคของเส้นเลือดหัวใจมีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะหรือมีโรคของเส้นเลือดสมองปกติ จะเกิดมีอาการรุนแรงขึ้นได้ทันที
และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องไม่ใช้ในขนาดมาก ซึ่งสุ่มเสี่ยงทำให้มีอาการเมาและความแปรปรวนดังกล่าว
อนึ่ง...อาการเมาที่เกิดขึ้นอาจเกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีอาการสนุกเฮฮานำมาก่อน แต่เป็นเรื่องของความดันตก เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน และการเห็นภาพขนาดแปร–เปลี่ยนไป หรือจะเรียกว่าเป็น Alice in wonderland โดยเป็น misconception ของการมองเห็น และต้องไม่สรุปว่าลักษณะดังกล่าวเป็นภาพหลอนซึ่งเกิดจากอาการทางจิต และมีอาการทรงตัวไม่ปกติ
อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในตอนเช้าถ้าใช้ยาในตอนกลางคืน และเป็นเกณฑ์กำหนดว่าขนาดหรือปริมาณยาที่จะใช้ต้องต่ำกว่าขนาดนี้
ในบางรายที่มีอาการสนุกเฮฮา ในระยะต่อมา ถึงแม้ไม่มีความผิดปกติทางด้านระบบความดันหรือหัวใจหรือความผิดปกติในด้านการทรงตัว การมองเห็นภาพ กลับตามด้วยภาวะหดหู่ซึมเศร้าอย่างรุนแรงได้
ความหลากหลายของปรากฏการณ์ของการที่ได้รับยาในขนาดที่มากไปทำให้ต้องมีความระวังเป็นพิเศษ และเป็นที่มาของการใช้ยาไมโครโดส
ซึ่งประโยชน์ที่สำคัญอีกประการก็คือการใช้ยาขนาดไมโครจะไม่โน้มนำไปสู่การติดโดยเฉพาะในคนที่เปราะบางเพราะมีกรรมพันธุ์อยู่แล้วและนำไปสู่อาการจิตเภท
ใช้ “กัญชา” ให้เป็น “ยา”...ใช้ขนาดน้อยที่สุด เพิ่มปริมาณน้อยที่สุดช้าๆ จะได้ประโยชน์เต็มที่ควบรวมกับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน.
หมอดื้อ
https://www.thairath.co.th/news/local/1619063
ความคิดเห็น